ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติแผนลงทุน M&A ในกิจการ 2 บริษัท ได้แก่ (1) เข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (BGP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก ขวด PET หลอดพรีฟอร์ม และ (2) เข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท บางกอกบรรจุภัณฑ์ จำกัด (BVP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์กระดาษ ด้วยกำลังการผลิตประมาณ 5 หมื่นตันต่อปี ใช้งบลงทุนรวมประมาณ 1,650 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมสถาบันการเงินในประเทศและบริษัทฯ ยังคงรักษาอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ไม่เกิน 2.5 เท่า
ทั้งนี้ กิจการทั้ง 2 บริษัทฯ ล้วนมีกำไรอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา จึงมั่นใจว่าการลงทุนดังกล่าวจะเสริมสร้างศักยภาพธุรกิจและผลการดำเนินงานของ BGC ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เนื่องจากสามารถรับรู้รายได้และผลกำไรจากบริษัทฯ ที่เข้าลงทุน หลังเสร็จสิ้นกระบวนการเข้าควบรวมกิจการ ประกอบกับบริษัทฯจะสามารถนำเสนอบริการแบบครบวงจร (One stop service) ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ พร้อมฉลาก ฝา และกล่องกระดาษ โดยมีทีมงานที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมด้านบรรจุภัณฑ์ มีเทคโนโลยีด้านการออกแบบที่ทันสมัย นอกจากนี้ ยังเพิ่มความสะดวกสบายแก่ลูกค้าจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย คาดว่าบริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนดังกล่าวตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป หากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564
ขณะเดียวกันบริษัทฯ ตั้งเป้าขยายการลงทุนเพิ่มเพื่อเสริมศักยภาพการเป็น Total Packaging Solution ซึ่งจะส่งผลต่อโครงสร้างรายได้ในอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไป โดยคาดว่าภายใน 5 ปีนับจากนี้ บริษัทฯ จะมีรายได้หลักจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วประมาณ 55% ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับบรรจุภัณฑ์แก้ว 40% และธุรกิจด้านพลังงาน 5% จากปัจจุบันที่มีรายได้หลักจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว 95% และธุรกิจด้านพลังงาน 5%
นายศิลปรัตน์ กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2563 แม้จะมีปัญหาเศรษฐกิจและผลกระทบจากการใช้มาตรการเคอร์ฟิว การ Lock down และการห้ามขายแอลกอฮอล์ เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา รวมถึงต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้าย บริษัทฯ ยังคงสามารถทำกำไรสุทธิ 516 ล้านบาท อยู่ในระดับเดียวกับปี 2562 ที่ทำได้ 512 ล้านบาท แม้ว่ารายได้จากการขายจะอยู่ที่ 10,968 ล้านบาท ชะลอตัวจากปี 2562 ที่มีรายได้จากการขาย 11,252 ล้านบาท ทั้งนี้ ที่ประชุมบอร์ดบริษัทฯ ได้มีมติอนุมติจ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2563 จำนวน 0.12 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินกว่า 83 ล้านบาท เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 21 เดือนเมษายน นี้ และกำหนดจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 7 พฤษภาคม 2564
สำหรับมาตรการแก้ไขปัญหาการระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ของภาครัฐในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ลดลงอย่างชัดเจน ปัจจุบันบริษัทฯ ยังมีคำสั่งซื้อตามปกติ ส่วนต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการวางแผนรับมือโดยการเพิ่มรูปแบบของพลังงานที่ใช้เพื่อกระจายความเสี่ยง และเพิ่มสัดส่วนการใช้เศษแก้วในการหลอมเพื่อลดการใช้พลังงาน และควบคุมการใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามคาดว่าบริษัทฯ จะได้รับผลดีจากราคาโซดาแอช (Soda ash) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับผลิตแก้วที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง และราคาเศษแก้วที่ทรงตัว โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวม สำหรับปี 2564 เติบโตจากปีก่อนประมาณ 35% จากแผนงานขยายธุรกิจ M&A
|