บทบาทของ ‘วิศวกรเคมี’ กับการพลิกโฉมอุตสาหกรรมสกินแคร์
จากการตรวจสอบย้อนหลังเกี่ยวกับข้อกฎหมายห้ามใช้ครีมกันแดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ‘ประเทศไทย’ ถือเป็นชาติแรกๆ ของโลกที่ออกกฎหมายนี้ ต่อจากรัฐฮาวาย (สหรัฐอเมริกา) และสาธารณรัฐปาเลา ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศเป็นหมู่เกาะ โดย TSE มองการเคลื่อนไหวทางกฎหมายนี้เป็น ‘ปรากฏการณ์’ ครั้งสำคัญของมนุษยชาติและการเปลี่ยนแปลงที่ดี เพราะถือเป็นจุดเริ่มต้นของการตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรทางทะเล โดยมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่การคิดค้นผลิตภัณฑ์ ซึ่ง ‘วิศวกรเคมี’ ถือเป็นบุคลากรที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมสกินแคร์ (Skincare) ด้วยการขานรับข้อกฎหมาย และช่วยหาทางแก้ไขตั้งแต่กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
TSE ชวนผู้ที่หลงใหลกิจกรรมทางทะเลกลับไปใช้สารกันแดดรุ่นเก่า!
การเติบโตของอุตสาหกรรมสกินแคร์ ส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ด้วยการนำสารเคมีทางเลือกใหม่ที่ช่วยให้ผลลัพธ์จากการใช้งานดูเป็นธรรมชาติ แทนสารเคมีรุ่นเก่าที่มีคุณสมบัติสะท้อนแสง แต่ทำให้ผิวดูขาววอกไม่เป็นธรรมชาติ แต่เมื่อมีกฎหมายใหม่ที่ห้ามใช้สารเคมีรุ่นใหม่เช่นนี้ ซึ่งทางออกที่ TSE มองว่าเหมาะสำหรับผู้ที่หลงใหลกิจกรรมทางทะเลที่ง่ายและใช้ได้ทันที คือการเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่ส่วนผสมของสารเคมีรุ่นบุกเบิกอย่าง ‘ไทเทเนียมไดออกไซด์’ (Titanium dioxide TiO2) และ ‘ซิงค์ออกไซด์’ Zinc Oxide โดยสังเกตได้จากฉลากที่กำกับข้างผลิตภัณฑ์ ซึ่งสารเคมีรุ่นบุกเบิกทั้ง 2 ชนิด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลอย่างแน่นอน
TSE หนุนออกเครื่องหมายกำกับผลิตภัณฑ์
เมื่อพิจารณาจากผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จะพบว่ายังมีสารเคมีที่เป็นส่วนผสมจำนวนมากที่ส่งผลต่อการฟอกขาวของปะการัง อาทิ ส่วนผสมในสบู่ แชมพู โฟมล้างหน้า เป็นต้น ซึ่งไม่รวมปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่ยังไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางสังคมอีกมากมาย แต่การมีกฎหมายห้ามใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีบางชนิดในพื้นที่อุทยาน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ต้องควบคู่กับการบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพด้วย ซึ่งแน่นอนว่าการตรวจสอบว่าผู้ใดใช้ครีมกันแดดที่มีสารเคมีต้องห้ามในพื้นที่อุทยาน เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก TSE จึงมีข้อเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลักดันการออกเครื่องหมายกำกับที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการใช้งานได้มากขึ้น โดยไม่ส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิตที่เคร่งครัดมากนัก นั่นหมายถึง การใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดทั่วไปยังสามารถเลือกใช้สารเคมีที่มีขายทั่วไปได้อยู่ แต่เมื่อไหร่ที่มีความจำเป็นต้องเข้าไปในพื้นที่อุทยาน ต้องควบคุมให้ใช้งานได้เฉพาะผลิตภัณฑ์กันแดดที่ระบุว่า ‘ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล’ ซึ่งจะช่วยยกระดับการบังคับใช้กฎหมายใช้เป็นรูปธรรมและจับต้องได้มากขึ้น
‘วิศวกรเคมี’ กับโอกาสของคนรุ่นใหม่ที่ TSE ภูมิใจนำเสนอ
กว่า 32 ปีแล้วที่ TSE ทำให้หน้าที่ในการมอบโอกาสและอนาคตที่ดีให้กับนักศึกษา ซึ่งหลักสูตรวิศวกรรมเคมี เป็นหนึ่งในหลักสูตรที่ TSE ภาคภูมิใจ และมีบทบาทที่สำคัญในการขับเคลื่อนสังคมตลอดมา โดยไม่ได้มุ่งเน้นความเป็นเลิศทางวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งเสริมทักษะต่างๆ ที่จำเป็นต่อการทำงาน (Soft Skills) อย่างครบวงจร ซึ่งช่วยให้การทำงานในทุกขั้นตอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังมีความคิดริเริ่มในการพัฒนาธุรกิจด้านเคมีภัณฑ์ โดยไม่ได้ยึดติดกับการเป็นลูกจ้างในสถานประกอบการ ซึ่ง TSE มีแผนที่จะพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนยุคใหม่ให้มากขึ้น อาทิ การให้ความสำคัญกับ ‘โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน’ (Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG Economy) ที่เป็นแนวคิดการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยกระดับความสามารถในการแข่งขัน โดยอยู่บนพื้นฐานของ ‘การพัฒนาอย่างยั่งยืน’ (Sustainable Development Goal หรือ SDGs) ที่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของสังคมในทุกมิติ เพื่อสร้างสมดุลของการเติบโตไปพร้อมกันแบบองค์รวม ซึ่งถือเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญและเป็นทักษะพื้นฐานที่มีความจำเป็นของ ‘วิศวกรเคมี’ ในปัจจุบัน และยังสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาของประเทศไทยอีกด้วย
“เพราะเรื่องเคมีไม่ได้จำกัดเฉพาะในห้องแลป แต่อยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน ซึ่งในโอกาสที่ฉลองครบรอบ 32 ปี เนื่องในวันคล้ายวันสภาปนาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือ TSE (19 สิงหาคมของทุกปี) TSE มีความมุ่งมั่นที่จะส่งต่ออนาคตทางการศึกษาให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจด้านวิศวกรรมเคมี ให้พร้อมเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆรอบตัวและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายที่มีผลต่ออุตสาหกรรมสกินแคร์ ‘วิศวกรเคมี’ ต้องพร้อมเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน” รองศาสตราจารย์ ดร.ภณิดา ซ้ายขวัญ กล่าวเสริมในตอนท้าย
|