2.) กลยุทธ์ทางด้านราคา บริษัทฯ ได้คัดสรรที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพในด้าน ทำเลที่ตั้ง ขนาดที่ดิน และราคาที่ดิน มีการศึกษาความเป็นไปได้โครงการ (Feasibility) เพื่อนำมาพิจารณาในการซื้อที่ดินเพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสม และเป็นราคาที่สามารถพัฒนาโครงการและแข่งขันได้ พร้อมกำหนดราคาโดยคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อม ได้แก่ ต้นทุน ศักยภาพโครงการ สภาพการแข่งขัน แนวโน้มราคาที่ดิน และอัตรากำไรที่เหมาะสมสำหรับอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย (Residential real estate industry) ที่สอดคล้องกับความสามารถในการซื้อของลูกค้า ภายใต้แนวคิด “ที่ดินทุกผืนมีผืนเดียวบนโลก” ทำให้บริษัทฯ สามารถปิดการขายภายในระยะเวลาตามแผนของโครงการ
3.) กลยุทธ์ทางด้านสื่อสารการตลาดและส่งเสริมการขาย มีการวิเคราะห์ข้อมูลภาวะอุตสาหกรรมและวิจัยตลาดอย่างสม่ำเสมอ (Market Research) โดยละเอียด เพื่อวางกลยุทธ์ทางด้านการตลาดตั้งแต่การพัฒนาโครงการจนถึงงานขาย และเพื่อให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของภาวะอุตสาหกรรม สภาวะตลาด การแข่งขันในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต และให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่กำหนด โดยเลือกใช้สื่อโฆษณาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะทำการสื่อสาร พร้อมติดตามประสิทธิภาพเพื่อปรับแผนการตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จากกลยุทธ์ที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้รับความเชื่อถือ มีผลประกอบการสม่ำเสมอ และมีการบริหารพอร์ตสินค้าคงเหลือได้เป็นอย่างดี จึงสามารถขายบ้านและปิดการขายโครงการที่ผ่านมาได้ทั้งหมด ตามเป้าหมายที่วางไว้
สำหรับโครงการในอนาคต 3 โครงการ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนา คาดว่าจะทยอยเปิดตัวได้ในไตรมาส 3/2565 เป็นต้นไป รวมมูลค่าโครงการกว่า 3,045 ล้านบาท แบ่งเป็น 1. โครงการ Cherene กรุงเทพกรีฑา – ร่มเกล้า เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่าโครงการประมาณ 648 ล้านบาท 2. โครงการ CHEREA VICINITY ราชพฤกษ์ – เจษฎาบดินทร์ เป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม 2 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 1,845 ล้านบาท และ 3. โครงการ Cher ราชพฤกษ์ - พระราม 5 เป็นทาวน์โฮม 2 – 3 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 552 ล้านบาท โดยโครงการของ PEACE จะเน้นการสร้างบ้านที่มีคุณภาพดีที่สุดสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่ม ในราคาที่เหมาะสม พร้อมให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้ซื้อที่ต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบ ที่มาพร้อมกับฟังก์ชันในด้านต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยจริง
นายฉันทวิทย์ โอฬารรัตนชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบริหารทั่วไป บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE เปิดเผยว่า แนวคิดของการพัฒนาโครงการภายใต้ พีซแอนด์ลีฟวิ่ง มีการกำหนดแนวทางและระยะเวลาในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ชัดเจน และสามารถดำเนินการตามแผนดังกล่าวได้ตามเป้าหมาย โดยมีแนวทางในการเริ่มเปิดขายโครงการภายใน 12-15 เดือน นับจากวันที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินสำหรับการพัฒนา และมีเป้าหมายในการปิดโครงการ หรือการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าร้อยละ 100 ภายใน 2 – 3 ปี (สำหรับโครงการที่มีจำนวนยูนิตไม่เกิน 200 ยูนิต) และภายใน 3 – 5 ปี (สำหรับโครงการที่มีจำนวนยูนิตเกิน 200 ยูนิต)
บริษัทฯ สามารถสร้างผลการดำเนินงานให้เติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งรายได้และการทำกำไรสุทธิ จากปี 2562 ที่มีรายได้รวม 429.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 866.88 ล้านบาทในปี 2563 และในงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 809.57 ล้านบาท เติบโต 40.82% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 574.86 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิปี 2562 อยู่ที่ 31.51 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 133.71 ล้านบาทในปี 2563 และงวด 9 เดือนของ 2564 มีกำไรสุทธิ 150.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.68% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 86.30 ล้านบาท โดยเป็นผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการทยอยรับรู้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ Cher งามวงศ์วาน – ประชาชื่น, โครงการ Cher สุขสวัสดิ์ – พุทธบูชา เป็นต้น ซึ่ง ณ 30 กันยายน 2564 บริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 7 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,717 ล้านบาท มียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) 600 ล้านบาท ประกอบกับบริษัทมีการบริหารสัดส่วนหนี้ต่อทุน (D/E) และมีอัตราดอกเบี้ยจากเงินกู้ยืม (Cost of Fund) ค่อนข้างต่ำ อยู่ในระดับเดียวกับบริษัทชั้นนำของอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทมีศักยภาพในการซื้อที่ดิน สำหรับรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคตได้เป็นอย่างดี
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า PEACE เป็นผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่ได้สั่งสมประสบการณ์ความเชี่ยวชาญมากว่า 30 ปี ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จากจุดเริ่มต้นในปี 2532 ที่พัฒนาโครงการประเภทรีสอร์ท ที่จังหวัดกาญจนบุรี และประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้นับจากอดีตถึงปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการมาแล้วรวมทั้งสิ้น 22 โครงการ ถือเป็นการผสมผสานของทีมผู้บริหาร 2 รุ่น ที่ช่วยพัฒนาแบรนด์ให้แข็งแกร่ง รักษาอัตราการเติบโตในระยะยาว พร้อมให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพในทุกขั้นตอน การจัดตั้งนิติบุคคล และบริการหลังการขาย ส่งผลทำให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างดีมากในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีความน่าเชื่อถือ ระบบการเงินมั่นคง ไม่เคยประสบปัญหาหนี้ NPL กับสถาบันการเงินแม้แต่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2540
สำหรับ บมจ.พีซแอนด์ลีฟวิ่ง มีทุนจดทะเบียน 420 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท โดยมีทุนเรียกชำระแล้ว 336 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นสามัญจำนวน 336 ล้านหุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 84 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.00 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะนำ PEACE จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในไตรมาสแรกของปี 2565 นี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ ภายหลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ไปใช้เพื่อเป็นเงินลงทุนซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัทฯ
|