ดังกรณีตัวอย่าง การสำรวจโผ 10 ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ที่โลกออนไลน์พูดถึงมากที่สุด ซึ่งผลสำรวจได้ออกพบ ผู้สมัครที่มีการกล่าวถึงเป็นอันดับหนึ่งคือ “ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” 52% (1,362,976 Mentions) ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. กับเสียงจากโลกโซเชียลเปรียบเทียบการกล่าวถึงผู้สมัครรับการเลือกตั้งแล้ว พบว่า ผลคะแนนเลือกตั้ง ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ มีคะแนนถึง 54% (1,386,215 Mentions) ซึ่งผลใกล้เคียงกันถึง 2%
ในขณะที่ ผลสำรวจ Social Listening พบ 10 ปัญหาที่คนกรุงอยากได้ ผู้ว่าฯกทม.คนใหม่มาแก้ไข ก็สอดคล้องกับ นโยบาย 214ข้อ ของคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ได้วางไว้ โดยเฉพาะ “ปัญหาถนนและทางเท้าชำรุด” ที่ชาวโซเชียลระบุต้องการให้แก้ไขด่วน!! ซึ่งผลสำรวจออกมาติดอันดับ 1 จำนวน 97,875 ข้อความ (เฉลี่ย 52.80%)
และหากวิเคราะห์เชิงลึกจะพบว่า ผลสำรวจจากโลกโซเชียลสอดคล้องกับคะแนนเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. 65 เนื่องจากก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง เสียงจากประชาชนในสื่อออนไลน์ต่างๆ ต้องการให้ คุณชัชชาติ เข้ามาบริหารงานในตำแหน่ง ผู้ว่าฯ กทม. ด้วยก่อนหน้านี้กระแสของคุณชัชชาติ ก็นำมาเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยเหตุผลดังนี้
- ป้ายหาเสียงที่มีขนาดเล็ก ไม่กีดขวางทางเท้า สามารถนำมาใช้ประโยชน์ด้วยการทำกระเป๋าได้
- มีการคำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมเห็นคุณค่า และต้องการสนับสนุน
- มีภาพลักษณ์ที่เป็นกันเอง เข้าถึงปัญหาประชาชนได้ง่าย มีการลงพื้นที่หาเสียง ตรวจสอบปัญหาอย่างจริงจัง
- ได้เข้าร่วมรายการดีเบตตามช่องทางต่าง ๆ และสามารถแสดงจุดยืน วิสัยทัศน์ และนโยบายของตนเองผ่านการตอบคำถามได้เป็นที่น่าพึงพอใจ
- มีแนวคิดที่ตรงใจกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีการประชาสัมพันธ์ และหาเสียงผ่านช่องทางออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ โดยใช้สื่อที่ดึงดูดความสนใจของกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้
- เป็นผู้สมัครอิสระ โดยไม่สังกัดพรรคการเมืองใดการเมืองหนึ่ง
- ติดนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ กทม. ทั้งหมด 214 ข้อ
- มีจุดยืน และอุดมการณ์ที่ประชาชนมองว่าตรงข้ามกับฝ่ายรัฐบาล
นางพงษ์ทิพย์ กล่าวอีกว่า จุดแข็งของ “เรียลสมาร์ท” ในบทบาทที่เป็น Digital Super Agency ได้ แสดงให้เห็นแล้วว่าการใช้ Big Data จากโลกออนไลน์ด้วยการทำ social listening เพื่อเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งสะท้อนสภาพความเป็นจริงของทิศทางสังคมต่อประเด็นต่างๆ ทำให้สามารถบริหารจัดการสถานการณ์ และชื่อเสียงของ objective นั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการทำ Social Listening ไม่ได้จำเพาะอยู่กับเรื่องของแบรนด์ หรือการตลาดของสินค้าและบริการ แต่ยังใช้ได้กับทุกเรื่องที่เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในสังคม
“ทุกวันนี้ผู้คนจะใช้เวลาอยู่ในโลกออนไลน์เกือบ 24 ชั่วโมง ชุดความคิดที่ว่า ความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียเป็นกระแสเป็นเรื่อง อารมณ์ เชื่อถืออะไรได้ยาก เป็นชุดความคิดที่ล้าสมัยไปแล้ว ยุคนี้จึงสามารถใช้เทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วยจับกระแสสะท้อนความคิดความเห็นของคนในสังคมที่มีต่อเรื่องราวต่างๆ ที่ เกิดขึ้นโดยไม่ต้องตั้งคำถามทำโพลสำรวจความคิดเห็นในรูปแบบเก่าอีกต่อไป” นางพงษ์ทิพย์ กล่าวทิ้งท้าย
|