ส่วนปัจจุบัน PIMO ขายมอเตอร์ AC ให้กับลูกค้ารายใหญ่หลายราย หนึ่งในนั้นคือมิตซูบิชิ ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศชั้นนำและผู้ผลิตปั๊มน้ำอันดับหนึ่งในไทย ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวหลัง COVID-19 ประกอบกับปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าปีที่ผ่านมาและราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้นทำให้เกษตรกรมั่นใจในการขยายพื้นที่เพาะปลูกมากขึ้น หนุนความต้องการใช้ปั๊มน้ำและเครื่องจักรการเกษตรให้สูงขึ้นรวมถึงการติดตั้งหรือเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศและปั๊มน้ำในบ้านมากขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้มอเตอร์สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าก็เป็นรายได้อีกช่องทางของ PIMO ที่น่าสนใจเช่นกัน หลังปัจจุบันบริษัทมีคู่ค้าที่จับมืออยู่ 3 ราย โดยฝ่ายวิเคราะห์ประเมินสมมุติฐานเบื้องต้น คู่ค้า 3 รายดังกล่าวจะผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้อยู่ที่ราว 60,000 คันต่อปี และราคาขายของมอเตอร์ชนิดนี้อยู่ที่ 5,000-10,000 บาทต่อลูก จะทำให้บริษัทมีรายได้จากสินค้าชนิดนี้เพิ่มขึ้นอีกราว 300-600 ล้านบาทต่อปีหรือราว 15 -30% ของยอดขายที่ฝ่ายวิเคราะห์ประมาณการในปี 2566 โดยบริษัทคาดว่าจะเริ่มมีรายได้เข้ามาช่วงไตรมาส 4/2565 ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ยังไม่ได้รวมรายได้ส่วนนี้เข้าไปในประมาณการ
นายธีร์ธนัตถ์ กล่าวต่อไปว่าสินค้าที่ PIMO ผลิตและจัดจำหน่ายแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ 1.มอเตอร์สำหรับเครื่องปรับอากาศ 2.มอเตอร์กำลังสำหรับภาคอุตสาหกรรม และ3.เครื่องสูบน้ำปั๊มหอยโข่งและมอเตอร์สำหรับสระและสปา โดยมีสัดส่วนการขายอยู่ที่ 33%, 7% และ 59% ตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขายแบบ OEM ทั้งนี้ในไตรมาส 1/2565 มีสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 60% โดยฝ่ายวิเคราะห์ประเมินรายได้จากการขาย ณ สิ้นปี 2565 จะทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 1,670 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะได้รับปัจจัยบวกจากยอดคำสั่งซื้อมอเตอร์ AC ที่เต็มกำลังการผลิตไปจนถึงไตรมาส 3/2565 และมอเตอร์ BLDC ที่เต็มกำลังการผลิตไปจนถึงสิ้นปี 2565 แม้ไตรมาส 1/2565 จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นมากดดัน GPM เหลือเพียง 16.2% แต่บริษัทมีการปรับราคาขึ้นมาแล้วไม่น้อยกว่า 20% รวมถึงค่าเงินบาทอ่อนค่าช่วยลดผลกระทบ ทำให้ GPM ทั้งปี 2565 คาดการณ์ที่ 18% ลดลงจาก 18.9% ในปี 2564 แต่ยังทำให้กำไรปกติในปี 2565 ทำจุดสูงสุดใหม่ได้อีกที่ 139 ล้านบาท เติบโต 36% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เทียบเท่า EPS ที่ 0.17 บาทต่อหุ้น ฝ่ายวิเคราะห์ใช้ PER ปี 2565 ที่ 27.6เท่า (+0.5SD) ได้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ที่ 4.84 บาท มี Upside gain 40% ปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปี 2565 เพียง 19.8 เท่า จึงเริ่มต้นคำแนะนำ “ซื้อ”
ด้านนายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO-ไพโม่ เปิดเผยว่าในปี 2565 ยังคงเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 1,200 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20% จากปี 2564 ที่ทำได้ 1,030.58 ล้านบาท โดยปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของรายได้หลักๆ มาจากจำนวนลูกค้าและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมียอดขายจากต่างประเทศคิดเป็น 60% และในประเทศ 40% และแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/2565 คาดว่าจะออกมาในทิศทางที่ดี ตามคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ที่เข้ามาล่วงหน้าแล้ว 8 เดือนและยอดขายในเดือนเมษายน 2565 เติบโตอย่างโดดเด่น |