“ดีเอชแอล – DHL” ประกาศกลยุทธ์ “Strategy 2030 – Accelerate Sustainable Growth” พร้อมผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญภูมิภาค ชูความสำคัญกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อีคอมเมิร์ซ และ การกระจายฐานการผลิตเพิ่มประสิทธิภาพซัพพลายเชน พร้อมสนับสนุนการเติบโตของไทย ด้วยการลงทุนเชิงรุกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
DHL ปูพรม 4 หน่วยธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์อย่างเต็มรูปแบบในไทย ได้แก่ DHL eCommerce, DHL Express, DHL Global Forwarding และ DHL Supply Chain ช่วยให้ภาคธุรกิจไทยสามารถเข้าถึงเครือข่ายและโซลูชันระดับโลกของ DHL ในฐานะพันธมิตรโลจิสติกส์ที่ให้บริการแบบครบวงจร กลยุทธ์ ‘Strategy 2030’ ของ DHL มุ่งตอบสนองต่อ 5 เมกะเทรนด์สำคัญที่กำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจของไทย ได้แก่ การค้าโลก อีคอมเมิร์ซ ความยั่งยืน การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และการพัฒนาของแรงงาน
DHL ยืนยันพันธกิจระยะยาวที่มีต่อประเทศไทย ผ่านเครือข่ายการดำเนินงานที่ครอบคลุม และการลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ปัจจุบัน DHL มีบุคลากรรวมกว่า 9,300 คน จากทั้ง 4 หน่วยธุรกิจที่ให้บริการในประเทศไทย
1. DHL Supply Chain บริหารจัดการพื้นที่คลังสินค้ากว่า 678,000 ตารางเมตร ครอบคลุมมากกว่า 70 แห่ง รวมถึงในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วยเครือข่ายการขนส่งที่ครอบคลุม ทำให้บริษัทสามารถจัดการการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยรถขนส่งกว่า 4,800 คัน ปัจจุบันบริษัทกำลังลงทุนพัฒนาคลังสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และมีแผนขยายการใช้รถขนส่งไฟฟ้า (EV) เพิ่มขึ้น 300% ในอีก 3 ปีข้างหน้า
2. DHL Express บริหารเครือข่ายการบินและภาคพื้นดินที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค (regional hub) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ศูนย์บริการ 15 แห่ง และจุดให้บริการทั้งที่เป็นเจ้าของเองและผ่านพันธมิตร 131 แห่ง ทั้งหมดนี้รองรับการจัดส่งด่วนระหว่างประเทศแบบถึงมือผู้รับ มีเครื่องบินขนส่งสินค้าระหว่างประเทศให้บริการ 85 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยศูนย์บริการทั้งหมด 100% ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตพลังงานหมุนเวียน
3. DHL Global Forwarding มีความเชี่ยวชาญด้านบริการจัดการการขนส่งสินค้าทางอากาศ ทางทะเล ทางรางรถไฟ และทางถนน ด้วยสำนักงาน 7 แห่ง และคลังสินค้า 3 แห่ง รวมพื้นที่ 8,480 ตารางเมตรทั่วประเทศไทย DHL Global Forwarding ให้บริการลูกค้ากว่า 2,000 ราย ศูนย์ DHL International Multimodal Hub แห่งใหม่เป็นการลงทุนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการค้าของภูมิภาค ศูนย์นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการขนส่ง โดยช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างรูปแบบการขนส่งต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น และลดความซับซ้อนของพิธีการศุลกากรในจุดเดียว นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์เชื่อมต่อที่สำคัญให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เช่น ประเทศลาว ด้วยทางเลือกการขนส่งที่หลากหลาย
4. DHL eCommerce มีเครือข่ายการจัดส่งครอบคลุมทั่วประเทศอย่างกว้างขวาง ประกอบด้วยศูนย์กระจายสินค้าปลายทาง 151 แห่ง ยานพาหนะกว่า 2,000 คัน และจุดให้บริการกว่า 230 แห่ง ทำให้สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง พร้อมทั้งบริการจัดส่งถึงมือผู้รับภายในวันถัดไปสูงถึง 97% ของพื้นที่ทั่วประเทศ ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง DHL eCommerce ลงทุนในโซลูชันที่ทันสมัย เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการที่แตกต่างให้แก่ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-retailers) ธุรกิจ SME แบรนด์ต่างๆ และลูกค้าองค์กร โดยมีแผนปรับปรุงศูนย์กระจายสินค้าครั้งใหญ่ในปี 2569 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
DHL มีเป้าหมายก้าวเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน ด้วยการเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์สีเขียวที่เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของลูกค้า ด้วยเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 DHL แสดงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนในประเทศไทยผ่านโครงการริเริ่มที่ครอบคลุมทั้ง 4 หน่วยธุรกิจ โดยทุกหน่วยธุรกิจได้นำยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มาใช้ในการดำเนินงานของตน
DHL Express Thailand เป็นผู้บุกเบิกในฐานะผู้ให้บริการโลจิสติกส์ด่วนระหว่างประเทศรายแรกที่นำจักรยานยนต์ไฟฟ้า และ EV มาใช้ในประเทศไทย บริษัทสามารถปรับเปลี่ยนยานพาหนะเป็น EV ได้ 21% คิดเป็น EV มากกว่า 50 คัน ซึ่งใช้ในการเข้ารับและจัดส่งสินค้า นอกจากนี้ DHL Express ยังสนับสนุนให้ลูกค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 ผ่านการใช้เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) ผ่านบริการ GoGreen Plus
DHL Supply Chain ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการให้บริการโลจิสติกส์สีเขียวผ่านการขนส่งที่ยั่งยืนมากขึ้น ด้วยการนำรถขนส่งไฟฟ้า (EV) กว่า 30 คัน มาใช้งานโดยร่วมมือกับลูกค้าในภาคธุรกิจค้าปลีก สินค้าอุปโภค-บริโภค และภาคยานยนต์ พร้อมกันนี้ยังดำเนินโครงการ Certified GoGreen Specialist ซึ่งได้ฝึกอบรมพนักงานของ DHL Supply Chain ไปแล้วกว่า 80% นอกจากนี้ บริษัทกำลังดำเนินการตามแนวทางการบริหารคลังสินค้าที่ยั่งยืน โดยวางแผนพัฒนาคลังสินค้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% แห่งแรกของประเทศไทยในปี 2568
DHL Global Forwarding แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาการขนส่งทางถนนอย่างยั่งยืนมากขึ้นทั่วภูมิภาคเอเชีย ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ การขนส่งหลายรูปแบบ และการใช้ EV โดยคาดการณ์ว่า EV ที่ใช้ในประเทศไทยจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 85,000 กิโลกรัมต่อปี DHL Global Forwarding เป็นผู้นำนวัตกรรมโลจิสติกส์ที่ยั่งยืนผ่านบริการ GoGreen Plus ด้วยการนำเสนอทางเลือกในการลดการปล่อยคาร์บอนผ่านการใช้เชื้อเพลิงทางทะเลและการบินที่ยั่งยืน ช่วยให้ลูกค้าสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกเส้นทางการค้า
DHL eCommerce ได้นำ EV มาใช้ในเส้นทางรับส่งระหว่างศูนย์กระจายสินค้าในกรุงเทพฯ และพื้นที่เขตเมือง ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะนำรถบรรทุกไฟฟ้าสำหรับการขนส่งระยะสั้นมาใช้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 นอกจากนี้ยังตั้งเป้าหมายที่จะปรับเปลี่ยนยานพาหนะขนส่งปลายทางในกรุงเทพฯ ให้เป็น EV จำนวน 50% ภายในระยะเวลาสองปี
คุณเกียรติชัย พิตรปรีชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DHL eCommerce เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า "ภาคอีคอมเมิร์ซของไทยยังมีแนวโน้มการเจริญเติบโตที่ดี DHL มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรมนี้ ผ่านการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการขนส่งให้ดียิ่งขึ้นและการขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล ด้วยการผสานเครือข่ายการจัดส่งที่ครอบคลุมทั่วประเทศเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยและโซลูชันด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน เราสามารถส่งเสริมศักยภาพให้ธุรกิจไทยทุกขนาดและทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าองค์กรหรือบุคคลทั่วไป ให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในเศรษฐกิจดิจิทัล”
คุณเฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ DHL Express ประเทศไทย และหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า "เครือข่ายของเราที่ครอบคลุม 220 ประเทศ พร้อมด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางอากาศและภาคพื้นดินส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญของการค้าโลก เราช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจทุกขนาดในประเทศไทยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากโอกาสธุรกิจที่มีทั่วโลก และส่งเสริมอนาคตที่ยั่งยืนผ่านโซลูชันที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพ เช่น บริการ GoGreen Plus เราพร้อมเชื่อมต่อประเทศไทยกับทั่วโลกและเปิดตลาดใหม่ให้แก่ธุรกิจไทย"
มร.วินเซนต์ ยอง กรรมการผู้จัดการ DHL Global Forwarding ประเทศไทย กล่าวว่า "การเปิดตัวศูนย์ DHL International Multimodal Hub ที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อไม่นานมานี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทย ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ที่สำคัญของอาเซียนภายในปี 2568 โซลูชันของเรา เช่น เครือข่ายการขนส่งที่หลากหลายแบบบูรณาการ จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของประเทศ"
มร.สตีฟ วอล์กเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DHL Supply Chain กลุ่มธุรกิจประเทศไทย กล่าวว่า "ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญสำหรับภาคยานยนต์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมการผลิต ประกอบกับการมีตลาดค้าปลีกในประเทศขนาดใหญ่ เรามีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งต่อโอกาสทางธุรกิจ และมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าและความเป็นเลิศด้านซัพพลายเชนในประเทศไทยในอนาคต"
|