ยุคของการทำการตลาดแบบเดิมๆ กำลังจะสิ้นสุดลงในอีกไม่ช้า เพราะการ disrupt ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ของเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง AI, IOT และ big data ซึ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้ จะเรียกว่าเป็นการปฏิวัติ หรือ renaissance ของวงการการตลาดก็คงจะไม่ผิด มันทำให้นักการตลาด รวมไปถึงผู้บริโภคสามารถเข้าถึงโอกาส และประสบการณ์ใหม่ๆ ได้มากขึ้น ที่ในอดีตเราทำได้แค่เพียงแต่จินตนาการเท่านั้น
สิ่งสำคัญที่ทำให้การตลาดในยุค dark age กับ renaissance มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนนั่นคือการเข้าถึง personalize ของผู้บริโภค หรือก็คือการที่นักการตลาดให้ความสำคัญ หรือเข้าถึงความเป็นมนุษย์ผู้มีชีวิตจิตใจ และเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคแต่ละคนอย่างลึกซึ้งนั่นเอง ซึ่งต้องขอบคุณเทคโนโลยี data, AI และ machine learning ในยุคปัจจุบันที่สามารถทำให้นักการตลาดของแต่ละธุรกิจสามารถเก็บดาต้าของผู้บริโภคแต่ละคนได้โดยง่ายผ่านเครื่องมือที่ทันสมัย และนำมาวิเคราะห์ personalize ของลูกค้าแต่ละคนได้แบบ real time เพื่อที่จะสามารถนำสินค้าและบริการของตนไปส่งถึงมือผู้บริโภคที่กำลังต้องการได้ในเวลาที่เหมาะเจาะ และนำมาซึ่งผลตอบแทนที่มากขึ้น หรือเรียกว่าเป็นการทำการตลาดแบบ data-driven marketing นั่นเอง
ในขณะเดียวกัน การ disrupt นี้ ก็ได้เกิดขึ้นกับวงการเอเจนซี่ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะในปัจจุบันลูกค้าเอเจนซี่มีความต้องการที่มากขึ้น เนื่องจากการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาด เอเจนซี่ที่ยังให้บริการลูกค้าแบบเดิมๆ บนพื้นฐานการตลาดแบบเดิมๆ จะไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป
นายศุภกิตติ์ ลิ้มบุญทรง ผู้อำนวยการบริหาร เอดีเอ ประเทศไทย บริษัทโฆษณาดิจิทัลครบวงจร ผู้เชี่ยวชาญด้าน data ในเครือเอเชียต้า กรุ๊ป จากประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า “เมื่อการตลาดได้เปลี่ยนไปแล้ว เราไม่สามารถใช้กลยุทธ์แบบเดิมๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ใหม่ๆ และผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นได้ เราต้องพัฒนากลยุทธ์การให้บริการ ทุกวันนี้เราสามารถเข้าถึงดาต้าได้มากมาย และเรารู้ดีว่ามันมีความสำคัญยิ่ง เราจึงลงทุนพัฒนาเครื่องมือของเราเองสำหรับเก็บ และวิเคราะห์ดาต้า นี่จึงเป็นการใช้ทรัพยากร และศักยภาพของเทคโนโลยีในยุคนี้ได้อย่างคุ้มค่า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าของเรา”
“เมื่อไม่นานมานี้เราได้ทำงานร่วมกับร้าน fast food ระดับโลกแบรนด์หนึ่ง (Burger King) ในการขยายฐานลูกค้าให้กับแบรนด์ ที่ช่วงหลังๆ มีการเติบโตค่อนข้างช้า ซึ่งจากผลสำรวจทำให้รู้ว่า ลูกค้าคนไทยส่วนใหญ่ยังมีความรู้สึกว่า Burger King เป็นแบรนด์ที่เข้าถึงยาก จึงจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อแก้ปัญหาในจุดนี้ โดยทางแบรนด์ได้ออกแคมเปญ และเมนูใหม่ที่คนไทยคุ้นเคย เพื่อมาดึงดูดลูกค้า”
“เราในฐานะ partner ด้านการตลาด ที่ทำงานบนพื้นฐานของดาต้า เราเริ่มงานด้วยการรวบรวมข้อมูลจาก channel ต่างๆของลูกค้า เพื่อนำมาวิเคราะห์หา behaviour ของกลุ่มเป้าหมาย และนำมาพัฒนาต่อเป็นการสื่อสาร หรือ ads ที่มี impact สูง ซึ่งมีแนวโม้มว่าจะได้รับ respond หรือการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายที่สูงด้วย รวมถึงทำการวิเคราะห์คู่แข่งอื่นๆในตลาดด้วย ซึ่งพบว่าหลายรายได้ทำเมนูไทยๆ ที่เน้นเรื่องวัตถุดิบ และคุณภาพขึ้นมาเพื่อดึงดูดลูกค้าด้วยเช่นกัน เราจึงต้องสร้างจุดยืนที่แตกต่างให้กับลูกค้าโดย เน้นไปที่เมนูที่คนไทยคุ้นเคย และมีหลายเมนูให้เลือก”
“หลังจากที่เราได้ data เกี่ยวกับความชอบของกลุ่มเป้าหมาย และคู่แข่งแล้ว เราทำการเก็บข้อมูลลึกลงไปอีกถึงพฤติกรรมแบบ real time ของกลุ่มคนที่มีแนวโน้มจะมาเป็นลูกค้าของร้าน ซึ่งเราใช้เครื่องมือที่เราได้พัฒนาขึ้นมาเองที่เรียกว่า ADA Business Insight Dashboard เข้ามาช่วย ซึ่งทำให้เราสามารถคัดกลุ่มเป้าหมายที่จะเห็น ads ของเราได้ตามความชอบ เวลา และสถานที่ได้อย่างชัดเจน เราเลือกกลุ่มคนที่กำลังหาร้านอาหาร ตามสถานที่ที่มีร้านของลูกค้าอยู่ภายในพื้นที่ ในช่วงเวลาใกล้มื้ออาหาร และเลือกเฉพาะคนที่เคยเข้าเว็บไซต์ หรือดูคลิปโฆษณาของลูกค้ามาก่อน เพื่อไม่ให้เป็นการยิง ads ที่หว่านเกินไป ในท้ายที่สุด แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง ฐานลูกค้าของแบรนด์ขยายใหญ่ขึ้น ยอดขายต่อวันเพิ่มขึ้น 12% อัตราการพิจารณาซื้อสินค้าของแบรนด์เพิ่มขึ้น 4% ทั่วประเทศ”
นายศุภกิตติ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เอเจนซี่ส่วนใหญ่จะไม่กล้าที่จะการันตี ROI ให้กับลูกค้า เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความควบคุมของเอเจนซี่ แต่ถ้าเราวางกลยุทธ์การตลาดบนพื้นฐานของดาต้าที่ถูกต้อง หรือทำการตลาดแบบ data-driven จะช่วยให้เราสามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้แม่นยำมากขึ้น นี่จึงเป็นสิ่งที่เอเจนซี่ยุคใหม่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้มากกว่าเอเจนซี่แบบเก่า ซึ่งเรากล้าการันตี ROI ให้กับลูกค้าของเรามาโดยตลอด เพราะยุคนี้ ROI ต้องเป็นเรื่องที่สามารถควบคุมได้ ส่วนเอเจนซี่ที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการในจุดนี้ให้กับลูกค้าได้ ก็จะค่อยๆหายสาบสูญไปจากตลาดในท้ายที่สุด”
การสิ้นสุดยุค dark age เป็นการเปิดทางให้กับการมาของยุค renaissance ของวงการการตลาด และดาต้า คือ หัวใจหลักที่จะทำให้นักการตลาดในยุคนี้มีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง คือการที่นักการตลาดทำการตลาดได้แบบไม่ต้องอาศัยการคาดเดา แต่หากเป็นการรวบรวมดาต้าที่สำคัญทั้งหมด และนำมาวิเคราะห์ เพื่อหากลยุทธ์ที่มีความแม่นยำที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่นักการตลาด และธุรกิจทั้งหลายต้องปรับตัว และเรียนรู้
|