1. ศักยภาพในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เนื่องด้วยบำรุงราษฎร์เป็นโรงพยาบาลที่มุ่งสู่การรักษาในขั้นจตุตถภูมิ (Quaternary Care) ที่ให้การบริบาลทางการแพทย์ที่มีความซับซ้อนอย่างมากด้วยนวัตกรรมขั้นสูง และด้วยมาตรฐานคุณภาพระดับสากล โดยมีทีมดูแลผู้ป่วยวิกฤต (Critical Care Team) ที่เข้มแข็งและเป็นเสาหลักของโรงพยาบาล และมีทีมแพทย์ทางเดินหายใจ มีทีมแพทย์เคลื่อนย้ายผู้ป่วย และมีทีมแพทย์ครอบคลุมทุกสาขา พร้อมดูแลผู้ป่วยทั้งผู้ใหญ่และเด็ก นอกจากนี้ ยังมีทีมห้องปฏิบัติการที่มีศักยภาพที่ได้การรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ระดับสากล จากวิทยาลัยพยาธิแพทย์อเมริกัน College of American Pathologists (CAP) ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้การรับรอง CAP อย่างเต็มรูปแบบที่เปิดบริการสำหรับผู้ป่วย สะท้อนให้เห็นถึงการเตรียมพร้อมมาโดยตลอด และสามารถพัฒนาต่อยอดถอดรหัสพันธุกรรมเป็นห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อโควิด-19 ได้ทันที ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่ได้การรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ในการตรวจหาเชื้อโควิด-19
2. ความสามารถในการตรวจคัดกรองและคัดแยกผู้ป่วย โรงพยาบาลเสริมสมรรถนะสูงสุดในการตรวจหาเชื้อระยะที่ 3 หมายความว่า ในระยะที่ 3 นี้ จะไม่สามารถทราบต้นทางหรือไม่สามารถตามรอยได้ว่าผู้ป่วยรายนี้ไปติดมาจากที่ไหน หรือไปสัมผัสใครมา เป็นการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบต้นตอของการแพร่กระจาย ฉะนั้นทุกโรงพยาบาลจะต้องเพิ่มมาตรการในการคัดกรองผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันผู้ที่ยังไม่ป่วยไปสัมผัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นกำลังคัดกรองสำคัญและถือเป็นด่านหน้าที่ต้องต่อสู้เพื่อรักษาผู้ป่วยให้ปลอดภัย นั่นหมายถึงการตรวจคัดกรองและคัดแยกผู้ป่วยมีความสำคัญมาก ทั้งนี้ บำรุงราษฎร์ได้เตรียมการในระยะ 3 มาตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 แล้ว โดยมีแผนดำเนินการในการทยอยออกมาตรการเป็นระยะ ๆ ผ่านศูนย์บัญชาการ (Hospital Incident Command System) เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ๆ ขณะนี้บำรุงราษฎร์ได้เปิด “Special Clinic” แยกพื้นที่ออกมาจากอาคารบริการปกติ ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคม 2563 เพื่อตรวจหาผู้ป่วยที่ไม่ทราบว่าติดต่อมาจากที่ใด โดยคลินิกพิเศษนี้จะเป็นจุดคัดแยก ซึ่งไม่ปะปนกับคลินิกการรักษาอื่น ๆ และค้นหาโรคได้อย่างทันท่วงที รวมถึงจัดตั้งคลินิกโรคหวัด ที่จะดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการหวัดหรือมีไข้หวัดโดยเฉพาะ เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่จะแพร่กระจายในวงกว้าง รวมถึงมีมาตรการทำความสะอาด และกำจัดขยะที่เข้มแข็งและมีการฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาคุณภาพสูงตามมาตรฐานสูงสุดในระดับสากลของ Workplace Hygiene ทั้งนี้มีเป้าหมายที่สำคัญคือความปลอดภัยของทุกท่านในโรงพยาบาลทั้งผู้ป่วย ญาติมิตร แพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล
3. ทรัพยากรและอุปกรณ์ โรงพยาบาลได้วางแผนการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 มาตั้งแต่ได้รับสัญญาณเตือนครั้งแรก จากประสบการณ์ที่สั่งสมกว่า 40 ปี และได้ผ่านสถานการณ์โรคระบาดในอดีต ทั้งไข้หวัดนก SARS รวมถึง MERS ทำให้เราเตรียมการและวางแผนอย่างรัดกุม และได้มีการสำรองทรัพยากรทั้งหลาย อาทิ ชุดน้ำยาตรวจ ยาและเวชภัณฑ์ต่าง ๆ อุปกรณ์ทางการแพทย์และวัสดุสิ้นเปลืองต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เพื่อเตรียมรองรับการแพร่ระบาดกระจายในวงกว้าง โดยศึกษาจากประสบการณ์ของเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน, อิตาลี, อิหร่าน และประเทศอื่น ๆ เป็นบทเรียน และนำมาพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพในการรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
4. สมรรถนะของบุคลากรโรงพยาบาล โรงพยาบาลมีการจัดทำเหตุการณ์จำลองผ่าน Simulation Learning Center ให้บุคลากรทุกส่วนที่เกี่ยวข้องได้มาฝึกฝน ซ้อมเสมือนจริง เสริมความมั่นใจในการปฏิบัติงานได้สูงสุด รวมถึงมีการจัดตั้งทีมวิชาการ ที่เราเรียกว่า "ทีมขงเบ้ง" ซึ่งเป็นที่ปรึกษา ที่คอยช่วยหาข้อมูลข่าวสารจากทุกช่องทางทั่วโลกเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทุกก้าวของบำรุงราษฎร์ในการดูแลผู้ป่วยอย่างรอบคอบและสมดุลในทุกมิติ ดังนั้น ทุกมาตรการที่โรงพยาบาลนำมาใช้นั้น มีงานวิจัยรองรับและเป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากล
ผศ.นพ.ก่อพงศ์ รุกขพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บำรุงราษฎร์ได้มีการวางแผนไว้อย่างรอบด้านและมีการจัดเตรียมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ เป็น 3 แถว ซึ่งหากนักรบเสื้อกาวน์แถวหน้าของเราบอบช้ำ เราก็มีแถว 2 และแถว 3 พร้อมสลับกันออกมาปฏิบัติภารกิจแทน และเพื่อให้แพทย์ที่สูงอายุได้ลดความเสี่ยงจากการรับเชื้อ โรงพยาบาลจึงมีมติให้ท่านได้พักภารกิจในการดูแลผู้ป่วยในช่วงเวลานี้เป็นการชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เนื่องจากประสบการณ์ในประเทศอิตาลีพบว่าแพทย์สูงอายุเสียชีวิตจำนวนมาก และโรงพยาบาลไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น
|