ยกตัวอย่างประเทศอิสราเอล นอกจากจะขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในปีนี้จากที่ 4 เมื่อปี 2562 อิสราเอลยังประสบความสำเร็จอย่างมากในการผลักดันตัวเองให้ขยับขึ้นจากอันดับที่ 42 มาเป็นอันดับ 1 ของเกณฑ์การสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีของรัฐบาล (Support for SMEs) ซึ่งเป็นผลมาจากที่รัฐบาลอิสราเอลมีความตั้งใจที่จะเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการหญิงเป็น 2 เท่าภายใน 2 ปีผ่านการสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีโดยภาคสถาบัน
20 อันดับประเทศที่มีสภาพเกื้อหนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการสตรีมากที่สุด
อันดับ
|
ประเทศ
|
อันดับเปลี่ยนแปลงจากปี 2562
|
คะแนนความเกื้อหนุนต่อผู้ประกอบการสตรี
|
อันดับ
|
ประเทศ
|
อันดับเปลี่ยนแปลงจากปี 2562
|
คะแนนความเกื้อหนุนต่อผู้ประกอบการสตรี
|
1
|
อิสราเอล
|
↑3
|
74.7
|
11
|
ไทย
|
↓1
|
66.9
|
2
|
สหรัฐอเมริกา
|
--
|
74.0
|
12
|
ไทเป
|
↑3
|
66.6
|
3
|
สวิตเซอร์แลนด์
|
↑8
|
71.5
|
13
|
ไอร์แลนด์
|
↓8
|
66.3
|
4
|
นิวซีแลนด์
|
↓3
|
70.1
|
14
|
โคลอมเบีย
|
↑10
|
66.3
|
5
|
โปแลนด์
|
↑11
|
68.9
|
15
|
ฮ่องกง
|
↓8
|
65.8
|
6
|
สหราชอาณาจักร
|
↑2
|
68.7
|
16
|
ฟิลิปปินส์
|
↓10
|
65.5
|
7
|
แคนาดา
|
↓4
|
68.6
|
17
|
อินโดนีเซีย
|
↑5
|
65.2
|
8
|
สวีเดน
|
↑17
|
68.3
|
18
|
ฝรั่งเศส
|
↑1
|
65.1
|
9
|
ออสเตรเลีย
|
--
|
67.5
|
19
|
โปรตุเกส
|
↓6
|
64.9
|
10
|
สเปน
|
↑4
|
67.3
|
20
|
เดนมาร์ก
|
↓3
|
64.9
|
(ตัวอักษรหนาคือ ประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก)
ปีนี้ ในภาพรวมประเทศไทยได้อันดับที่ 11 ตกลงมา 1 อันดับเมื่อเทียบกับปี 2562 (แต่ได้คะแนนเพิ่มขึ้น 2.5%) และตกลงมา 2 อันดับ มาอยู่อันดับที่ 6 (คะแนนน้อยลง 0.3%) ของเกณฑ์วัดผลความก้าวหน้าของสตรี (Women’s Advancement Outcome) ที่วัดความก้าวหน้าและระดับการยอมรับทางทัศนคติที่มีต่อสตรีในฐานะผู้นำทางธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบการ และแรงงานที่มีประสิทธิภาพและความสามารถในหน้าที่การงานและระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ทั้งนั้น นับว่าไทยทำได้ดีในการสนับสนุนผู้หญิงให้มีความก้าวหน้าทางด้านอาชีพการงานและการมีบทบาทต่อความเจริญของเศรษฐกิจของประเทศ
เมื่อมองประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประเทศที่มีการไต่อันดับขึ้นมากที่สุดคือ จีนแผ่นดินใหญ่ (+6) และอินโดนีเซีย (+5) ขณะเดียวกัน ประเทศที่อันดับตกมากที่สุดคือ สิงคโปร์ (-12) ฟิลิปปินส์ (-10) ฮ่องกง (-8) และเวียดนาม (-7)
และนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ดัชนีพบว่า 34 ประเทศจาก 58 ประเทศ มีคะแนนดัชนีผู้ประกอบการสตรีในเกณฑ์ที่ดี อยู่ที่ 60 ถึง 70 คะแนน เช่น ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย จีนแผ่นดินใหญ่ สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย ในขณะที่ 13 ประเทศ เช่น ญี่ปุ่นและอินเดีย มีคะแนนอยู่ในช่วง 50 ถึง 60
โควิด-19 มาพร้อมอุปสรรคและโอกาสในเวลาเดียวกัน
ผลวิเคราะห์ของดัชนีประจำปี 2563 ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของโควิด-19 ต่อผู้ประกอบการหญิงอย่างชัดเจน โดย 87% ของผู้ประกอบการหญิงระบุว่าได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะธุรกิจในภาคท่องเที่ยว ค้าปลีก และอาหาร ทั้งยังประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเพศที่มีแต่จะหนักขึ้นอันเป็นผลจากการก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลที่รวดเร็วขึ้น และยังต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูบุตรในช่วงที่โรงเรียนต้องปิดชั่วคราว ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นเพียงส่วนนึงเท่านั้นที่ทำให้ผู้หญิงมีความเปราะบางต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“ผลสรุปจากดัชนีที่มาสเตอร์การ์ดได้จัดทำขึ้นชี้ให้เห็นว่า ความเหลื่อมล้ำทางเพศเป็นปัญหาเรื้อรังที่หลายประเทศล้วนประสบตั้งแต่ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ว่าประเทศนั้นๆ จะมีสภาพเศรษฐกิจ ระดับความเจริญ ขนาด และภูมิศาสตร์เป็นอย่างไรก็ตาม และเมื่อมีโควิดปัญหานี้จึงหนักขึ้น ด้วยข้อจำกัดของผู้หญิงทางด้านสายอาชีพและลักษณะงาน ความรับผิดชอบต่อครอบครัวและบุตร และความไม่เท่าเทียมทางเพศในการทำธุรกิจ ทำให้การดำรงชีวิตของผู้หญิงได้รับผลกระทบมากกว่าของผู้ชาย” จูเลียน โลห์ รองประธานกรรมการบริหารความร่วมมือระหว่างองค์กร ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มาสเตอร์การ์ด กล่าว
“ในเวลานี้ รัฐบาล ผู้ให้บริการทางการเงิน และองค์กรธุรกิจจำเป็นต้องร่วมมือกันทำ 3 สิ่ง นั่นคือ หนึ่ง ให้การสนับสนุนและจัดตั้งมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบเพื่อให้ผู้หญิงสามารถเอาตัวรอดและดำเนินชีวิตต่อไปได้ในยุคนิวนอร์มอล สอง เสริมทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในโลกดิจิทัล และสาม ช่วยให้ผู้หญิงสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและการทำงานได้อย่างง่ายดายและเท่าเทียม แม้ว่า 3 สิ่งนี้ยากที่จะทำให้สำเร็จได้ แต่การลงทุนเช่นนี้จะทำให้เกิดผลประโยชน์อย่างมหาศาล ไม่เพียงต่อผู้หญิงแต่ต่อสังคมโดยรวมด้วยเช่นกัน”
อย่างไรก็ดี ผลวิเคราะห์ของดัชนีมองว่าอนาคตของผู้ประกอบการหญิงจะเป็นไปในเชิงบวก โควิดได้กลายเป็นตัวเร่งให้ผู้หญิงเติบโตอย่างก้าวกระโดดในภาคธุรกิจและสร้างโอกาสในการปรับเปลี่ยนทัศนคติของสังคมที่มีต่อผู้หญิง เนื่องจากโควิดได้สร้างสถานการณ์ที่ผู้หญิงสามารถแสดงออกถึงความเป็นผู้นำในการทำธุรกิจ และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงด้วยกันเองที่อาจกำลังกลัวหรือประสบกับอุปสรรคทางวัฒนธรรม ซึ่ง 47.8% ของผู้ประกอบการหญิงระบุว่า มีความต้องการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นเป็นแรงผลักดันในการดำรงชีวิต นอกจากนี้ ผู้หญิงในภาคธุรกิจได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับโลกใหม่ของการทำงานอย่างโดดเด่น โดย 42% ได้เปลี่ยนโมเดลธุรกิจไปเป็นรูปแบบดิจิทัลแล้ว และ 34% มองเห็นโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจหลังจากเกิดโควิด-19
ผลวิเคราะห์ข้อมูลยังพบอีกว่า แม้ว่าแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน แต่แนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ ภาครัฐจำต้องออกมาตรการบรรเทาทุกข์ที่ครอบคลุมสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอี ตั้งแต่การสมทบเงินจ้างตลอดจนโครงการพักงานชั่วคราวและการช่วยเหลือทางการเงิน รวมถึงการช่วยเหลือด้านการดูแลบุตร
การใช้ประโยชน์จากโมเมนตัมนี้และการสนับสนุนการดำเนินงานที่เฉพาะเจาะจงสำหรับเพศหญิงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้แสดงถึงศักยภาพ ทั้งยังช่วยชดเชยเงินมูลค่า 172 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐที่ทั่วโลกจะสูญเสียจากความต่างของรายได้ตลอดชีวิตระหว่างเพศหญิงและเพศชาย (อ้างอิงจากธนาคารโลก)
ความมุ่งมั่นของมาสเตอร์การ์ดในการผลักดันให้สังคมเกิดการพัฒนาอย่างครอบคลุม
ดัชนีผู้ประกอบการสตรีเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภารกิจหลักของมาสเตอร์การ์ดในการส่งเสริมความก้าวหน้าของผู้ที่อยู่นอกระบบและผู้ด้อยโอกาส โดยเน้นสนับสนุนและช่วยพัฒนาผู้ประกอบการหญิงและธุรกิจขนาดเล็กผ่านโครงการริเริ่มต่างๆ เช่น โครงการ Start Path และ Path to Priceless ซึ่งในปี 2563 มาสเตอร์การ์ดได้ขยายความมุ่งมั่นในการให้บริการทางการเงินทั่วโลก โดยให้คำมั่นว่าจะนำผู้คน 1 พันล้านคน และธุรกิจขนาดย่อมและขนาดเล็ก 50 ล้านราย เข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลภายในปี 2568 ส่วนหนึ่งของความพยายามนี้จะมุ่งเน้นโดยตรงไปที่การจัดหาโซลูชัน ไม่ว่าจะเป็นโครงการระดมทุน การให้คำปรึกษา และเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการหญิง 25 ล้านคนขยายธุรกิจของตนได้
· ดาวโหลด ดัชนีผู้ประกอบการสตรี ประจำปี 2563 และเอกสารประกอบ ได้ที่นี่
· ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความพยายามของมาสเตอร์การ์ดในการสนับสนุนและช่วยเหลือผู้หญิง ได้ที่นี่
|