สิ่งที่เกษตรกรและผู้ลงทุนปลูกกัญชงต้องทำอย่างเคร่งครัด คือการทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย การนำกัญชงและกัญชามาใช้ในอุตสาหกรรมหรือในผลิตภัณฑ์ สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ การตรวจปริมาณสารสกัดจาก CBD (Cannabidiol) สารแคนนาบิไดออล และ THC (Tetrahydrocannabinol) สารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล โดยกฎหมายห้ามมีสาร THC เกิน 0.2% ดังนั้นการเลือกปลูกกัญชงจึงต้องเลือกสายพันธุ์ที่มี CBD สูง, THC ต่ำ โดยสามารถตรวจสอบขั้นต้นผ่านชุดตรวจที่ภาครัฐมีจำหน่ายหรือใช้วิธีส่ง Lab Test ก็กระทำได้ระยะเวลารอผลที่ 3-4 เดือน ซึ่งหากมองในแง่อุตสาหกรรมการมีชุดตรวจเป็นของตนเองทำให้คล่องตัว ประหยัดเวลา และค่าใช้จ่าย ซึ่งปัจจุบันชุดตรวจปริมาณสารสกัดจาก CBD และ THC มีราคาไม่สูงอยู่ที่ราวๆ 20,000-25,000 บาท”
ดร.วัฒนพงศ์ สิทธิเสรี ผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์ด้านโครมาโทรกราฟี บริษัท เมอร์ค จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “การวิเคราะห์สารสกัดกัญชงและกัญชาในผลิตภัณฑ์นั้น จะมีวิธีการตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ วิธีการตรวจสอบหนึ่งที่เป็นมาตรฐาน คือ วิธีการตามตำรายาของประเทศไทย (Thai Pharmacopoeia method 2020) โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำหรับ บริษัท เมอร์ค เราเป็นผู้นำเข้าเคมีภัณฑ์ วัสดุ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์สารสกัดกัญชง-กัญชา ที่ได้มาตรฐานสากล พร้อมให้ความรู้และวิธีการวิเคราะห์ทดสอบสารสกัดและผลิตภัณฑ์กัญชงและกัญชาอย่างครบวงจร โดยเฉพาะการตรวจวัดปริมาณสารสกัดจาก CBD (Cannabidiol) สารแคนนาบิไดออล และ THC (Tetrahydrocannabinol) สารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล เพื่อให้ได้ค่ามาตรฐานตามกฎหมายและปลอดภัยสูงสุด
สำหรับวิธีการตรวจวัดปริมาณสารสกัดจาก CBD (Cannabidiol) สารแคนนาบิไดออล และ THC (Tetrahydrocannabinol) สารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล ทาง บริษัท เมอร์ค ได้นำเข้าเคมีภัณฑ์และอุปกรณ์ในการตรวจวัดปริมาณสารให้สอดรับกับกลุ่มผู้ประกอบการ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ
ระดับง่าย โดยใช้วิธีโครมาโทกราฟีแบบผิวบาง (Thin layer chromatography, TLC) ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่าย สะดวก และประหยัด ไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ สามารถตรวจวัดปริมาณสารได้อย่างรวดเร็ว และมีความแม่นยำในระดับหนึ่ง เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่เงินทุนไม่สูงมาก แต่ต้องการตรวจเบื้องต้นก่อนส่งห้องปฏิบัติการ
ระดับกลาง เป็นการตรวจวัดปริมาณสารโดยวิธีโครมาโทกราฟีของเหลวสมรรถนะสูง (High performance liquid chromatography, HPLC) ซึ่งเป็นวิธีการที่ตรงตามมาตรฐานห้องปฏิบัติการ เหมาะสำหรับห้องปฏิบัติการที่ใช้ตรวจวัดปริมาณสาร เนื่องจากวิธีการนี้เป็นวิธีการที่สะดวก รวดเร็ว และต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินการ
ระดับสูง เป็นการตรวจวัดปริมาณสารด้วยวิธีโครมาโทกราฟีของเหลวที่ต่อกับเครื่องวิเคราะห์มวลสาร (Liquid chromatography mass spectroscopy, LCMS) เป็นวิธีตรวจวัดปริมาณสารขั้นสูง เหมาะสำหรับห้องปฏิบัติการขนาดใหญ่ ให้ผลการวิเคราะห์ที่แม่นยำสูงและน่าเชื่อถือ ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์
คุณจิรพันธ์ หล่อตระกูลชัย ผู้จัดการผลิตภัณฑ์สารมาตรฐานในห้องปฏิบัติการ บริษัท เมอร์ค จำกัด กล่าวเสริมทิ้งท้ายว่า “เมอร์คได้เจรจาธุรกิจกับกลุ่มลูกค้ามาเป็นเวลา 3 ปี พร้อมทำการค้นคว้าพัฒนาเทคโนโลยีด้านการตรวจวิเคราะห์มาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการวิเคราะห์สารสกัดกัญชงและกัญชาในผลิตภัณฑ์นับว่าเป็นธุรกิจใหม่ซึ่งเป็นไฮไลต์ของเมอร์คที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก พร้อมแบ่งสัดส่วนลูกค้าไว้เป็น 2 กลุ่มหลักด้วยกัน คือกลุ่มภาครัฐ และภาคเอกชน โดยจะทำการโฟกัสไปที่กลุ่มธุรกิจเอกชนเป็นหลัก คาดว่าภายใน 1-2 ปี สัดส่วนการเติบโตของกลุ่มลูกค้าธุรกิจเอกชนจะอยู่ที่ 90% พร้อมตั้งเป้าการเติบโตในส่วนธุรกิจนี้อยู่ที่ 100% สอดคล้องกับมูลค่าธุรกิจกัญชงและกัญชาที่เติบโตแบบก้าวกระโดด”
นับว่ากัญชงและกัญชา เป็นอีกหนึ่งพืชทางเลือกที่น่าจับตามองในภาคอุตสาหกรรม โดยประเทศไทยเองเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการอนุญาตนำสารสกัดกัญชาเข้ามาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อดึงศักยภาพของประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งอาเซียน และการนำสาร CBD เข้ามาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยต้องผ่านการตรวจวิเคราะห์ตามมาตรฐาน และทดสอบการหาปริมาณสารสกัดจาก CBD (Cannabidiol) สารแคนนาบิไดออล และ THC (Tetrahydrocannabinol) สารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล ตามที่ภาครัฐกำหนด ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก: Merck Life Science Thailand
|