ด้วยทักษะและประสบการณ์การผลิตลำไยนอกฤดูคุณภาพและการบริหารจัดการสวนที่ดีตามมาตรฐาน GAP ทำให้การผลิตลำไยที่สวนภัทรพันธุ์ของนายอำนาจซึ่งมีพื้นที่ 140 ไร่ มีต้นลำไยจำนวน 3,374 ต้นประสบความสำเร็จทุกปี โดยนายอำนาจใช้วิธีการปรับปรุงบำรุงดินด้วยการใส้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ต้นลำไย 5-10กก./ต้น/ปี และทุก 3 ปีจะมีการปรับค่าความเป็นกรดด่างของดินด้วยการใส่ปูนโดโลไมท์เพื่อไม่ให้ดินที่ใส่ปุ๋ยเคมีติดต่อกันเป็นเวลานานมีค่าความเป็นกรดด่างมากเกินไปซึ่งอาจส่งผลเสียต่อต้นลำไยได้ ในช่วงใบอ่อนมีการใช้น้ำหมักจากสะเดาเพื่อไล่แมลงและใช้เชื้อไตรโคเดอร์มาผสมน้ำฉีดพ่นลงดินเพื่อปรับปรุงดินและป้องกันโรครากเน่าโคนเน่า โดยในปี 2563 ที่ผ่านมาได้ผลผลิตจำนวน 1,980 กิโลกรัม/ไร่ ซึ่งสูงกว่าผลผลิตลำไยของจังหวัดจันทบุรีที่มีค่าเฉลี่ย 869 กิโลกรัม/ไร่ โดยนายอำนาจมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตลำไยในปี 2563 จำนวน 1,744,360 บาท
นายสุธรรม จันทร์อ่อน เกษตรกรพืชอินทรีย์ดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2564 ของสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรที่ 5 จังหวัดชัยนาท เกษตรกรที่ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินชีวิต แต่เนื่องจากกิจกรรมทางการเกษตรมีต้นทุนที่สูง กระบวนการผลิตยังมีการใช้สารเคมีในปริมาณสูง ส่งผลให้มีปัญหาทั้งด้านสุขภาพและหนี้สินจึงกลับมาทำเกษตรแบบธรรมชาติโดยเริ่มทำการเกษตรในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ ในปี พ.ศ. 2542 จนสามารถปลดหนี้สินได้สำเร็จและยึดแนวทางผลิตพืชแบบอินทรีย์มาจนถึงปัจจุบัน
ภายในเนื้อที่ทำการเกษตรจำนวน 17 ไร่ นายสุธรรม ได้แบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับปลูกข้าว ปลูกพืชผักผสมผสาน ไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชสมุนไพร ผลิตปุ๋ยหมักชีวภาพ น้ำหมักชีวภาพ และโรงสีข้าว โดยพื้นที่จำนวน 5 ไร่ ได้การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากกรมวิชาการเกษตร ปัจจุบันมีพืชที่ขอการรับรองจำนวน 27 ชนิด โดยปลูกผักหลายชนิดในแปลงเดียวกันและเลือกปลูกผักที่ให้ผลผลิตดีตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมของระบบเกษตรอินทรีย์มากที่สุด เช่น ผักพื้นบ้าน โดยนำเทคโนโลยีของกรมวิชาการเกษตร เช่น แมลงหางหนีบ ไส้เดือนฝอย เชื้อราบิวเวอเรีย มาใช้ในการบริหารจัดการศัตรูพืช ใช้พืชสมุนไพรขับไล่แมลง คลุมแปลงด้วยพลาสติกในพืชบางชนิด เพื่อลดปัญหาวัชพืชและแรงงาน
นอกจากนี้ ยังปลูกพืช 9 ชนิดในแปลงเดียวกันโดยเน้นชนิดพืชผักที่มีอายุใกล้เคียงกัน แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ พืชอายุสั้น อายุปานกลาง และอายุยาว ซึ่งพืชทั้ง 3 ระดับจะต้องเป็นพืชที่ดูแลอาศัยซึ่งกันและกัน เช่น เมื่อปลูกผักกาด คะน้า ผักโขม มะเขือ ก็จะปลูกพืชสมุนไพรร่วมด้วย เพื่อป้องกันโรคและแมลงมารบกวน มีการวางแผนการปลูกพืชทั้งในโรงเรือนและนอกโรงเรือน โดยปลูกแบบผสมผสาน หมุนเวียนสอดคล้องกับฤดูกาลผลิตและความต้องการของตลาด ในปี 2563 ที่ผ่านมามีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตจำนวน 55,900 บาท/ไร่/ปี
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2564 ทั้ง 2 รายนี้นับเป็นความภาคภูมิใจของกรมวิชาการเกษตร เพราะเป็นเกษตรกรที่มีความมุ่งมั่นและรักในอาชีพเกษตรกร มีความคิดริเริ่ม อดทน ขยันหมั่นเพียร พร้อมที่จะแบ่งปันความรู้ ทำการเกษตรโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม ผลผลิตมีคุณภาพได้รับการยอมรับจากตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งสามารถเป็นผู้นำและแบบอย่างให้เกษตรกรรายอื่นได้ปฏิบัติตามต่อไป
|