|
นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่าภายหลังรัฐบาลประกาศใช้มาตรการควบคุมสูงสุดและเข้มงวดของการระบาดไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (นราธิวาส ปัตตานี ยะลาและสงขลา) โดยเฉพาะคำสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง และห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานเป็นเวลา 30 วัน สำหรับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่และบ้านจัดสรร ซึ่งในช่วงแรกหลังประกาศใช้มาตรการเกิดปัญหาเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการ ตีความเหมารวมการก่อสร้างขนาดเล็กหรือบ้านพักอาศัยเข้าไปด้วย ทำให้ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านสับสนไปตามๆ กัน ที่สำคัญได้สร้างความวิตกกังวลต่อผู้บริโภคและประชาชน ซึ่งมีผลทางด้านจิตวิทยาที่จะทำให้ผู้บริโภคบางส่วน ตัดสินใจเลื่อนแผนสร้างบ้านหลังใหม่ออกไปก่อน
“ในส่วนของบริษัทฯ เองยอมรับว่าได้รับผลกระทบบ้างแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการปลูกสร้างบ้านในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งส่วนหนึ่งขอชะลอการเซ็นสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านเอาไว้ก่อน เพื่อจะรอดูสถานการณ์ว่ารัฐบาลจะมีความชัดเจนต่อเรื่องดังกล่าวไปในทิศทางใด อย่างไรก็ดีผลกระทบที่ได้รับจากมาตรการข้างต้น ยังอยู่ในวิสัยที่บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการได้ โดยในปี 2564 นี้บริษัทฯ มีแผนขยายสาขาแห่งใหม่ในต่างจังหวัดที่เป็นเมืองรอง 2-3 สาขา ทั้งนี้แนวคิดการขยายสาขาต่างจังหวัดที่เป็นเมืองรอง เพราะนอกจากต้องการเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุดแล้ว ยังถือเป็นการลดความเสี่ยงในแง่การบริหารวิกฤติกำลังซื้อผู้บริโภคที่ชะลอตัวในบางพื้นที่ ซึ่งบริษัทฯ มีประสบการณ์จากหลาย ๆ เหตุการณ์ในระยะ 7-8 ปีที่ผ่านมา สำหรับสาขาแห่งใหม่ที่เปิดทำการแล้วก่อนหน้านี้ ได้แก่ สาขาพิจิตรและนครนายก และในไตรมาส 3 นี้เตรียมเปิดเพิ่มสาขาราชบุรี อีก 1 แห่ง เรามั่นใจว่าแผนขยายสาขาในจังหวัดเมืองรองจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถทำเป้ายอดขายที่ตั้งไว้ 1,100 ล้านบาท แม้ว่ามูลค่ารวมตลาดรับสร้างบ้านในปีนี้อาจจะหดตัวถึง 15-30% ก็ตาม”
ด้าน น.ส.ถิรพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะผู้บริหารสิทธิ์และมาตรฐานธุรกิจรับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีแรกชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกำลังซื้อผู้บริโภคในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้านในระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทในต่างจังหวัด จากสถานการณ์เศรษฐกิจประเทศที่ผันผวนสูง และมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวต่อเนื่องในไตรมาส 3 ทำให้บริษัทฯ ต้องหันมาให้ความรู้เรื่องการสร้างบ้าน พร้อมๆ กับสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ในการตัดสินใจปลูกสร้างบ้านหลังใหม่ ด้วยการเน้นย้ำแนวคิดหลักขององค์กรคือ 1.บ้านประหยัดพลังงาน 2.บ้านผู้สูงอายุ และ3.บ้านสุขภาพที่ดีเพิ่มออกซิเจนและปลอดฝุ่น PM2.5 สำหรับการอยู่อาศัยของคนยุคใหม่ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพได้เป็นอย่างดี โดยบริษัทฯ เน้นใช้ช่องทางออนไลน์สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก ซึ่งผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ ประเมินได้จากจำนวนลูกค้าที่จองสร้างบ้านทางออนไลน์ โดยไม่ต้องเดินทางมาที่สาขา และยังมีแนวโน้มได้รับความสนใจสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา สามารถทำยอดจองได้ 300 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้เล็กน้อย แบ่งเป็นการจองสร้างบ้านผ่านช่องทางออนไลน์มูลค่ารวม 110 ล้านบาทเศษ และช่องทางออฟไลน์ 180 ล้านบาทเศษ ทำให้ครึ่งปีแรกมียอดขายรวม 500 ล้านบาทเศษ ทั้งนี้พบว่าแบบบ้านในกลุ่มราคา 7-15 ล้านบาท ได้รับความนิยมปลูกสร้างมากที่สุด ดังนั้นไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวแบบบ้านใหม่ Modern Contemporary Style ได้แก่ แบบบ้าน ME-212 และ ME-213 ขนาดพื้นที่ใช้สอย 400 ตร.ม. เพื่อเอาใจลูกค้าที่ต้องการบ้านดีไซน์หรูหราทันสมัยและมีฟังก์ชั่นครบ พร้อมจัดโปรโมชั่นสุดพิเศษ “Complete สวย-ครบ-จบ” ฟรี! ออกแบบตกแต่งภายในทั้งหลัง และ รับฟรี! ทองคำหนัก 2 บาท |
