ช่องทาง E-Commerce จะเน้นเพิ่มความสามารถการนำเสนอสินค้ากับกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น พัฒนาระบบบริหารจัดการสินค้าให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งเพิ่มแพลตฟอร์มการเข้าถึงสินค้าให้มีความหลากหลายทั้งเว็บไซต์ของบริษัท, Market Place ชั้นนำ, Social Media ที่มีศักยภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการการเข้าถึงได้ทุกช่องทาง สั่งซื้อง่าย และได้รับสินค้าถูกต้อง รวดเร็ว
ส่วนช่องทางตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าวางจำหน่ายใน 13 ประเทศ (จีน ฮ่องกง ไตหวัน อินโดนีเซีย กัมพูชา เวียดนาม พม่า ลาว มาลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ อินเดีย ญี่ปุ่น) ในปีนี้จะเน้นกระจายสินค้าเข้าสู่พื้นที่ต่างๆของแต่ละประเทศ และทำการตลาดให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักในวงกว้างร่วมกับตัวแทนจำหน่ายมากขึ้น ขณะที่โมเดลการขายแบบ Product License ในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของ BEAUTY ปัจจุบันมีสินค้าทั้งสกินแคร์และเมคอัพ ที่ตัวแทนนำไปผลิตและจำหน่ายรวม 12 รายการ คาดว่าในปีนี้มีโอกาสเติบโตมากขึ้น เนื่องจากสามารถออกสินค้าได้รวดเร็ว ลดขั้นตอน ค่าใช้จ่ายในการนำเข้า-ส่งออก และตรงความต้องการของกลุ่มลูกค้า บริษัทมีแผนขยายตัวแทนจำหน่ายและจำนวนรายการสินค้าที่ให้ License เพิ่มเติมด้วยเช่นกัน
“จากการปรับรูปแบบการจำหน่าย การสร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม BEAUTY & WELLNESS ในช่วงที่ผ่านมา และมีการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงสำคัญในปีนี้อีกประการ คือ การปรับภาพลักษณ์แบรนด์ (Refresh Branding) ของ BEAUTY BUFFET ให้มีความทันสมัย สนุกสนาน เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม ซึ่งในช่วงต่อจากนี้บริษัทจะมีการสื่อสารการตลาดด้วยภาพลักษณ์ใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์แบบ O2O เต็มรูปแบบ และพรีเซนเตอร์ที่หลากหลาย” ดร.พีระพงษ์ กล่าว
นอกจากนี้ BEAUTY ยังมีการปรับโครงสร้างการดำเนินงาน การบริหาร (Re Structuring) ครั้งใหญ่ ลดขนาดองค์กรให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจ และสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการผลิต การขาย และค่าใช้จ่ายในการบริหารได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยอดขายทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งมีการเพิ่มทีมบริหารใหม่ 2 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าปลีก และการบริหารจัดการตัวแทนจำหน่าย เข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่ง พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ เพื่อขยายตลาดตาม Business Model ใหม่ต่อไป
|