ให้ความสำคัญกับคนที่รักและอยากให้ของขวัญกับเรา
คนทุกคนย่อมมีคนทั้งรักและเกลียดเป็นเรื่องธรรมดา ต่อให้เราทำดีที่สุดกับทุกคนแล้วก็ตาม ปันปันก็เช่นเดียวกัน เมื่อสปอตไลท์สาดส่อง เป็นที่รู้จักวงกว้างในฐานะแดร็กควีนเมืองไทย คนที่ชื่นชมในความสามารถก็จะพ่วงมาพร้อมคนที่ไม่หวังดี ซึ่งบทเรียนสำคัญที่สอนให้ปันปันได้ทำความรู้จักนิสัยใจคอของคนรอบข้างอย่างแท้จริงก็คือ ช่วงที่ปันปันถูกกล่าวหาจากรุ่นพี่ที่สนิทกันว่าตนใช้คำพูดดูถูกนางโชว์ “มีคนคิดว่าเราเคยพูดว่า นางโชว์เดี๋ยวก็แก่ เดี๋ยวก็ตาย ไม่เหมือนแดร็ก” ทั้งๆ ที่ปันปันไม่เคยพูดเช่นนั้น
จากเหตุการณ์ดังกล่าวตามมาด้วยคอมเมนต์ด่าทอนับพัน ซึ่งนอกจากจะทำให้ปันปันรู้สึกเจ็บปวดทางอารมณ์ (mental breakdown) ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ปันปันได้เรียนรู้ถึงนิสัยใจคอของคน รับรู้ว่าเพื่อนแท้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร “ในช่วงเวลาที่เราอยู่ต่ำสุด ทำให้รู้ว่าใครคือเพื่อน” เมื่อปันปันได้สติ ก็ค่อยๆ ใช้เวลาในการเยียวยาจิตใจ อยู่กับคนที่เชื่อในตัวเอง จากนั้นยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นและหาทางแก้เพื่อปกป้องตัวเอง ในท้ายที่สุดแล้ว เรื่องนี้ก็สอนให้ปันปันได้รู้ว่า ในช่วงเวลาเลวร้ายที่เกิดขึ้น จะเป็นบททดสอบสำคัญว่าใครจะเป็นคนให้ “ของขวัญ” เพื่อกำลังใจ หรือให้ “ก้อนหิน” เพื่อซ้ำเติม
แก้ไขทุกข์ได้อย่างยั่งยืนผ่าน “สติ”
คุณหมอดุ๊กยังให้ข้อคิดเพิ่มเติมอีกว่าสิ่งที่คนเราเจอในแต่ละวันล้วนมีปัญหาใหม่ๆ ให้เข้ามาแก้ไม่ขาดสาย ซึ่งอาจทำให้เราหลงลืมกับเป้าหมาย หรือตัวตนที่เราเป็นอยู่ได้ สิ่งที่จะคอยยึดมั่นให้เราสามารถเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านั้นได้คือ “สติ” โดยอาศัยหลักธรรมพระพุทธศาสนาอย่าง “อริยสัจ 4 - ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” เราต้องนิยามทุกข์ที่เกิดก่อนว่าทุกวันนี้ ทุกข์หลักที่เกิดขึ้นคืออะไร แล้วสาเหตุที่เกิดคืออะไร สาเหตุดังกล่าวนั้นเรามีวิธีแก้ไขไหม สามารถควบคุมได้หรือไม่ ซึ่งคุณหมอดุ๊กได้กล่าวเสริมว่า หากเราจำแนกได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรามาจากปัญหาอะไร ก็จะช่วยให้เราต่อสู้และก้าวข้ามปัญหาในอนาคตได้อย่างราบรื่น
เรามีสิทธิ์ทำอะไรกับร่างกายก็ได้ เพราะร่างกายเป็นของเรา
รายการ Drag Race ไม่เพียงแต่สอนให้ปันปันได้เรียนรู้ถึงความหลากหลายของเพศสภาพแล้ว ยังทำให้ปันปันได้เปิดรับความแตกต่างของร่างกาย และสิทธิที่คนมีเหนือร่างกายตนเอง ทำให้ต่อให้ร่างกาย หรือ รูปลักษณ์จะไม่ตรงตามกรอบมาตรฐานสังคม เราก็สามารถทำอะไรกับร่างกายกับตัวเองได้เต็มที่ ตราบใดที่เป็นร่างกายของเรา เราสามารถมีความสุข ไม่จำเป็นปล่อยความสุขเราไปแขวนกับความคิดของคนอื่น
ซึ่งปันปันเองยอมรับว่า เมื่อก่อนตนมีภาพจำเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมหรือการเสริมความงาม ว่าเป็นการทำสวยตามคนอื่น แต่พอเราได้ไปลองทำจริงๆ แล้ว ก็ทำให้ตนรู้สึกมั่นใจในการใช้ชีวิต พึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น มองว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากการดูแลตัวเอง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง เข้าใจสิ่งที่ตัวเองต้องการ และเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จัดการกับร่างกายตนเองได้
ขณะเดียวกันทางศ.นพ.วาสนภ หรือ คุณหมอดุ๊กเสริมเรื่องการเสริมความงามว่า คนที่ตัดสินใจเสริมความงามบนใบหน้าควรทำเพื่อความสบายใจของตนเอง ไม่ใช่มาจากการคำพูดของคนอื่น ถ้าหากทำตามใจของตัวเองจริงๆ แก้ไขส่วนที่ตัวเองกังวล พอเรามั่นใจ เราก็กล้าทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตมากขึ้น
3 ข้อที่ควรรู้เพื่อนำไปสู่ความสุขที่ตนเองต้องการ
ก่อนที่จะจบรายการ คุณหมอดุ๊กได้เพิ่มเติมสิ่งที่เราสามารถพาเราไปพบกับความสุขที่แท้จริงด้วยตัวเราเอง เราจะใช้ชีวิตโดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับใครคนอื่น แล้วเราเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดบนโลกใบนี้ ด้วยเพียง 3 สิ่งดังต่อไปนี้
1. รู้จักตัวเองเป็นปัญญาที่แท้จริง หากเราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นและทำตามคนอื่นตลอดเวลา เราก็จะไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มาจากความชอบของตัวเองหรือไม่ ดังนั้นควรหยุดทำความรู้จักคนอื่นแล้วมารู้จักกับตัวเองก่อน หากรู้จุดหมายของตนเองแล้ว ก็จะเกิดแรงบันดาลใจ ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างมีความหมายมากขึ้น
2. เข้าใจและยอมรับความแตกต่าง อย่าให้ความแตกต่างจากมาตรฐานสังคมเป็นอุปสรรคที่จำกัดตัวเลือกในการใช้ชีวิต ในทางกลับกัน นำความแตกต่างนั้นเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เผยความมั่นใจ กล้าทำสิ่งต่างๆ นอกกรอบ รวมไปถึงสร้างความรู้ความเข้าใจให้สังคมใหม่ ขยับขยายมาตรฐานสังคมให้กว้างและโอบรับความแตกต่างได้มากขึ้น
3. ทำสิ่งที่เราชอบให้มีคุณค่า ไม่มีเรื่องไหนที่เราชอบเป็นเรื่องไร้สาระ เพียงเราต้องให้คุณค่าและตั้งใจทำให้ดีที่สุด แล้วความชอบของเราก็จะสร้างความหมายให้คนรอบข้างได้
|