ในปีนี้ ดีลอยท์ โกลบอล ได้ร่วมมือกับ The 30% Club ซึ่งมีพันธกิจหลักในการผลักดันให้มีสัดส่วนของผู้หญิงอย่างน้อย 30% ในที่นั่งบอร์ดบริหาร และดำรงตำแหน่งระดับผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด
รายงานฉบับใหม่นี้ประกอบด้วยข้อมูลล่าสุดจาก 72 ประเทศ เกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งกรรมการของผู้หญิง ซึ่งเป็นการสำรวจข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มทางการเมือง สังคม และกฎหมายที่อยู่เบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้
ความไม่สอดคล้องของตำแหน่งในระดับผู้นำ
แม้ว่าจะมีสัดส่วนผู้หญิงดำรงตำแหน่งในบอร์ดบริหารทั่วโลกเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยในปี 2564 แต่การที่ผู้หญิงก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงอย่างกรรมการผู้จัดการใหญ่ หรือ CEO กลับไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งตอกย้ำแนวความคิดที่ว่า การมีสัดส่วนผู้หญิงในคณะกรรมการบริษัทที่มากขึ้น ไม่ได้บ่งชี้ว่า ผู้หญิงจะมีความก้าวหน้าในตำแหน่งระดับผู้บริหารหรือผู้นำต่างๆ ตามไปด้วย
การวิจัยล่าสุดพบว่า ทั่วโลกมีประธานกรรมการที่เป็นผู้หญิงอยู่เพียง 6.7% ซึ่งเพิ่มขึ้นมาเพียง 1.4% จากปี 2018 เท่านั้น แต่ตัวเลขนี้จะยิ่งน้อยลงไปอีก เมื่อดูในส่วนของตำแหน่ง CEO กล่าวคือ 5% หรือเพิ่มขึ้นเพียง 0.6% จากปี 2561 เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยของดีลอยท์ โกลบอล เผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างสัดส่วน CEO ที่เป็นผู้หญิงกับความหลากหลายของคณะกรรมการบริษัทที่มี CEO เป็นผู้หญิง จะมีสัดส่วนของผู้หญิงในบอร์ดบริหารมากกว่าบริษัทที่มี CEO เป็นผู้ชายอย่างมีนัยสำคัญที่ 33.5% เทียบกับ 19.4% ตามลำดับ ตัวเลขทางสถิติให้ผลคล้ายๆ กันสำหรับบริษัทที่มีประธานกรรมการเป็นผู้หญิง (จะมีผู้หญิงอยู่ในคณะกรรมการบริษัทที่ 30.8% เทียบกับ 19.4% ตามลำดับ) และในทางกลับกันคือ คณะกรรมการที่มีความหลากหลายเช่นนี้มีแนวโน้มที่จะแต่งตั้ง CEO และประธานกรรมการที่เป็นผู้หญิงมากกว่า
ความคืบหน้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นำมาใช้ศึกษาในรายงานฉบับนี้ ประกอบด้วยอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ซึ่งในภาพรวมแล้ว แต่ละประเทศมีความคืบหน้าที่ดี โดยมีผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริษัทโดยเฉลี่ยที่ 17.1% เทียบกับ 14.3% ในปี 2561 นับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเอเชียที่ 11.7% และใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 19.7%
ในแง่ของอัตราส่วนการเปลี่ยนแปลง จากรายงานพบว่า ภูมิภาคนี้มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 2.7% จากปี 2018 ซึ่งสอดคล้องกับสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นที่ 2.8% ทั่วโลก มาเลเซีย (3.4%) ฟิลิปปินส์ (3.8%) สิงคโปร์ (3.9%) และไทย (3.6%) รายงานถึงสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งก้าวนำตัวเลขเฉลี่ยรวมทั่วโลก ในขณะที่อินโดนีเซียลดลง 1.0%
การวิจัยแสดงให้เห็นผลของการแบ่งเป็นสองขั้ว นั่นก็คือว่า ถึงแม้ผู้หญิงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีตำแหน่งอยู่ในบอร์ดบริหารที่ 6.0% แต่สัดส่วนการเปลี่ยนแปลงมีความหลากหลายมากกว่านั้น ที่เด่นชัดที่สุดคือ อินโดนีเซียมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางลบที่ 2.4% ส่วนมาเลเซียและไทยรายงานถึงการเปลี่ยนแปลงไปในเชิงบวกที่ 2.6% และ 1.2% ตามลำดับ
หากเปรียบเทียบแล้ว เมื่อพิจารณาถึงบทบาท CEO ในกลุ่มผู้หญิง สิงคโปร์ (13.1%) และประเทศไทย (11.6%) จัดอยู่ในอันดับที่หนึ่งและสามตามลำดับในกลุ่มประเทศที่ทำการสำรวจ
ประเทศ 5 อันดับแรก
|
สัดส่วนของผู้หญิงในคณะกรรมการบริษัท
|
สัดส่วนของ CEO ที่เป็นผู้หญิง
|
ประเทศ
|
ร้อยละ
|
% การเปลี่ยนแปลง
|
ประเทศ
|
ร้อยละ
|
% การเปลี่ยนแปลง
|
ฝรั่งเศส
|
43.2
|
5.9
|
สิงคโปร์
|
13.1
|
3.2
|
นอร์เวย์
|
42.4
|
1.4
|
สวีเดน
|
12.4
|
2.1
|
อิตาลี
|
36.6
|
7.3
|
ไทย
|
11.6
|
1.9
|
เบลเยียม
|
34.9
|
4.3
|
ไอร์แลนด์
|
11.5
|
3.7
|
สวีเดน
|
34.7
|
1.4
|
ฝรั่งเศส
|
9.7
|
3.5
|
ที่มา: Women in the Boardroom: A Global Perspective ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2565)
ผลการวิจัยนี้ตอกย้ำว่า แม้สัดส่วนของผู้หญิงที่เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารผ่านคณะกรรมการบริษัททั่วภูมิภาคจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2561 การให้ความสำคัญ และการยอมรับให้ผู้หญิงเข้าดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในคณะกรรมการก็ยังคงแตกต่างกันเป็นอย่างมากตามภูมิภาคต่างๆ
การดำรงตำแหน่งกรรมการของผู้หญิงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือลดลงในบางแห่ง โดยตัวเลขระยะเวลาการดำรงตำแหน่งโดยเฉลี่ยในสิงคโปร์ลดลงอย่างมาก กล่าวคือ จาก 5.0 ปี ไปเป็น 4.4 ปี สัดส่วนการเปลี่ยนแปลงของวาระการดำรงตำแหน่งก็ลดลงเช่นกันในมาเลเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากจำนวนผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อที่เป็นผู้หญิงในประเทศเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้หญิงมีส่วนร่วมในคณะกรรมการโดยรวมเพิ่มขึ้น
“ปี 2565 อาจเป็นปีแห่งโอกาสในการแต่งตั้งผู้หญิงให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริษัทมากขึ้น เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ จะต้องทำการประเมินความต้องการของคณะกรรมการของตนซ้ำอีกครั้งให้สอดรับกับแนวทางการดำเนินธุรกิจหลังจากการระบาดใหญ่” Seah Gek Choo ผู้นำ Centre for Corporate Governance ดีลอยท์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว
“การผลักดันปัจจัยด้านต่าง ๆ อาทิ ค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกันและลักษณะการทำงานที่มีความยืดหยุ่น รวมถึงโปรแกรมให้คำปรึกษาและสนับสนุนสำหรับผู้หญิงนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยเร่งให้ผู้หญิงก้าวขึ้นมามีบทบาทผู้นำมากขึ้น
ที่ดีลอยท์ เราส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศให้เกิดขึ้นในบทบาทของผู้นำผ่านโครงการ Board-ready Women Program
ที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมอยู่ในคณะกรรมการบริษัทมากขึ้น โดยทางองค์กรจะเตรียมความพร้อมให้กับผู้บริหารผู้หญิงซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสม เพื่อเข้ารับตำแหน่งกรรมการ และวางรากฐานสำหรับการเข้าดำรงตำแหน่งแทนกรรมการที่หมดวาระทั้งของบริษัทเอกชนและของรัฐ” Gek Choo กล่าวต่อ
ผลการวิจัยที่สำคัญอื่นๆ ของรายงานเผยให้เห็นความท้าทายที่เพิ่มเติมของผู้หญิงในบอร์ดบริหาร
มีผู้หญิงจำนวนน้อยลงที่เข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการของบริษัทต่างๆ ตัวชี้วัด Stretch Factor ของดีลอยท์ โกลบอล
จะตรวจสอบจำนวนที่นั่งของคณะกรรมการในแต่ละตลาด ยิ่ง Stretch Factor นั้นสูงเท่าใด การดำรงตำแหน่งกรรมการของตลาดนั้นๆ ก็จะเป็นบุคคลคนเดียวกันซ้ำๆ มากขึ้นเท่านั้น
· ในปี 2564 ที่ผ่านมา Stretch Factor ของผู้หญิงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากตัวเลขปี 2561 ที่ 1.26 ไปเป็น 1.30 อันเป็นการบ่งชี้ว่าเมื่อเทียบกับผู้ชายแล้ว มีกรรมการที่เป็นผู้หญิงจำนวนน้อยที่ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการต่างๆ เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้ชายจะมี Stretch Factor ที่ 1.17
· ประเทศที่มี Stretch Factor ของผู้หญิงสูงสุด ซึ่งได้แก่ ออสเตรเลีย (1.43) สหรัฐอเมริกา (1.33) และนิวซีแลนด์ (1.32) ต่างก็หลีกเลี่ยงโควตาในการสนับสนุนแนวทางแบบสมัครใจ เช่น เป้าหมายที่ไม่ผูกมัด ในขณะเดียวกัน ประเทศในยุโรปที่นำโควตามาใช้ตั้งแต่ช่วงแรกจะมี Stretch Factor สำหรับกรรมการที่เป็นผู้หญิงต่ำกว่ามาก ซึ่งบางประเทศก็เท่ากับค่า Stretch Factor ของผู้ชายทั่วโลก
· ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น Stretch Factor ของผู้หญิง อยู่ที่ 1.17 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2561 นั่นหมายความว่า ขณะนี้ผู้หญิงได้เข้ามามีบทบาทในตำแหน่งกรรมการเพิ่มขึ้นในภูมิภาคนี้หลายตำแหน่ง
|