ขณะเดียวกัน ในครึ่งหลังของปีนี้ CPL ยังจะได้รับปัจจัยหนุนจากราคาหนังดิบที่เริ่มเห็นสัญญาณการปรับตัวลดลง หลังจากที่ครึ่งปีแรก ราคาหนังดิบปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20% ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่นเดียวกับต้นทุนเคมี ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 25% ตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม CPL ได้รับมือกับการปรับเพิ่มขึ้นของราคาเคมี ซึ่งเป็นต้นทุนที่มีสัดส่วน 15-18% ของต้นทุนรวม ด้วยการปรับกระบวนการผลิตในโรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ให้เกิดการใช้เคมีซ้ำ และลดการสูญเสียของการใช้เคมี รวมถึงสั่งเครื่องจักรใหม่ที่เน้นการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ บริษัทฯ จะต้องรับรู้ผลจากการขายหนังกึ่งสำเร็จรูป (Wet Blue) ซึ่งเป็นการขายในราคาที่ต่ำกว่าทุน เพื่อลดปริมาณสินค้าคงเหลือให้ต่ำลง ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถบริหารสภาพคล่องได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ อีกทั้งเพื่อเตรียมรับมือหากเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคตด้วย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CPL กล่าวด้วยว่า สำหรับสายธุรกิจอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (เซฟตี้ โปรดักส์) ภายใต้แบรนด์ “แพงโกลิน” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสายธุรกิจของ CPL นั้น มีแนวโน้มดีขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทำให้โรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงไซต์งานก่อสร้างต่างๆ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของ “แพงโกลิน” กลับมาดำเนินการผลิตและดำเนินการก่อสร้างอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้อุปกรณ์เซฟตี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่ง “แพงโกลิน” มีจุดแข็งเรื่องคุณภาพของสินค้า ความเชี่ยวชาญของทีมงานที่จะคอยให้คำแนะนำเรื่องการใช้งาน รวมถึงบริการหลังการขาย ทำให้เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรม โดยขณะนี้สินค้าในกลุ่มรองเท้านิรภัยเริ่มมีสัญญาณยอดขายดีขึ้น ขณะที่สินค้ากลุ่ม PPE สำหรับป้องกันโควิด-19 มีแนวโน้มลดลง ดังนั้น บริษัทฯ จึงปรับแผนและปรับกลยุทธ์การขายให้สอดรับกับสถานการณ์ ด้วยการรุกทำตลาดรองเท้านิรภัยและอุปกรณ์ป้องกันภัยในโรงงาน รวมถึงไซต์งานต่างๆ ให้กลับมาเป็นสินค้ากลุ่มขายดี ที่จะสร้างการเติบโตให้กับ CPL ต่อไป
|